โดย พ.ญ.บุณยวีร์ อนุเชษฐรักษ์ พัลซ์ คลินิก
เอชไอวีและเอดส์คืออะไร?
โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี เอชไอวีซึ่งย่อมาจากคำว่า human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัส ในขณะที่โรคเอดส์หรือ acquired immune deficiency syndrome คือกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวีซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อไวรัสทำลายจนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้
ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจไม่พัฒนาอาการจนเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น
การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่มียาหลายชนิดที่ช่วยรักษาอาการติดเชื้อเอชไอวี
มียารักษาอาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ที่ได้รับการรับรองมากกกว่า 25 ชนิด เรียกว่า ยาต้านรีโทรไวรัส (antiretroviral drugs หรือเรียกย่อว่า ARV) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อ เอชไอวี รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคสู่คนอื่น
การรักษาอาการติดเชื้อเอชไอวีประกอบด้วยการใช้ยาต้านไวรัสในกลุ่ม ARV หลายชนิดรวมกันเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ หรือเรียกว่า Antiretroviral therapy (ART) วิธีการนี้เป็นการรักษาโรคโดยการควบคุมไวรัสไม่ให้ขยายพันธุ์ ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อสู่คนอื่น ในปัจจุบันวงการแพทย์แนะนำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนรับการรักษาด้วย ยา ARV
CD4 คืออะไร ทำไมต้องตรวจ?
CD4 เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง(ในบรรดาเม็ดเลือดขาวหลายๆชนิด) มีหน้าที่เป็นภูมิต้านท้านให้กับร่างกาย มีหน้าที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรค และมีบทบาทในการสร้างสารภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ด้วยการตรวจจับเชื้อโรคและส่งสัญญาณไปให้กับเซลล์ภูมิคุ้มอื่นๆที่อยู่ภายใต้สังกัดของตน ให้ออกมาปฏิบัติการทำลายเชื้อโรคนั่นเอง คนสุขภาพดีทั่วไปจะมีค่า CD4 อยู่ที่ประมาณ 500 ขึ้นไป (อ้างอิงจาก สภากาชาดไทย) ซึ่งผู้ที่มีค่า CD4 อยู่ในระดับนี้จะสามารถต่อสู้รับมือกับเชื้อโรคต่างๆได้อย่างไม่มีปัญหา หรืออีกนัยยะหนึ่ง CD4ที่เหมาะสม เป็นปัจจัยชี้วัดที่บ่งบอกว่าร่างกายมีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคทั่วไปได้เป็นอย่างดี
หากเปรียบร่างกายของเราเหมือนประเทศ ระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่เหมือนศูนย์บัญชาการของทหารหรือกระทรวงกลาโหม ที่คอยคุ้มกันและสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้ามารุกรานได้ และเพื่อดูแลคุ้มกันส่วนต่างๆของร่างกายได้ทั่วถึง ระบบภูมิคุ้มกันจะกระจายตัวเป็นต่อมน้ำเหลือง (lymph nodes) อยู่ตามจุดต่าง ๆ ตามรูป เหมือนค่าย ทหารเพื่อสะสมกำลังพล เมื่อต้องต่อสู้กับเชื้อโรคหรือข้าศึกที่เข้ามาในร่างกาย ค่ายทหารจะกระจายพลทหารหรือเม็ดเลือดขาวออกไปกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส สารเคมี เป็นต้น
เอชไอวี ทำอะไรกับ CD4?
เมื่อเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ จะเข้ายึดจับและทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 เมื่อทหารของร่างกายตายลงไปเรื่อยๆ ร่างกายก็จะขาดกำลังพลในการรบและพ่ายแพ้ต่อเชื้อโรคได้ง่าย
หลักในการทำงานของเอชไอวี เนื้อหาต่อไปนี้จะแสดงกลไกการติดเชื้อทั้ง 5 ขั้นตอน การเข้าใจถึงกลไกนี้จะช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของยาต้านไวรัสแต่ละประเภทด้วย
- เชื้อเอชไอวีเริ่มยึดเกาะเข้ากับผนัง CD4 โดยใช้หนามที่มีอยู่รอบ ๆ เซลล์แทงยึดที่เต้ารับของ CD4 จากนั้นจะเริ่มแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรการติดเชื้อ
- หลังจากที่ยึดเแน่นแล้ว เยื่อหุ้มเอชไอวีจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเยื่อหุ้ม CD4 เมื่อเจาะเกราะหุ้ม CD4 ได้ เอชไอวีจะพุ่งเข้าไปในเซลล์ CD4 ทันที
- เมื่อเข้าเซลล์ได้ รหัสพันธุกรรมของเอชไอวี (RNA) จะพุ่งสู่ใจกลางเซลล์ CD4 และก๊อบปี้ตัวเองขึ้นมา โดยขโมยโปรตีนของเซลล์ CD4 มาใช้ในการสร้างเนื้อตัวของลูกหลานตัวใหม่ เซลล์เอชไอวีรุ่นใหม่จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าของเก่า
- เมื่อได้ทุกสิ่งอย่างครบตามองค์ประกอบเดิมเอชไอวี ตัวใหม่ก็จะผุดออกมาจากเซลล์ CD4 โดยดึงเนื้อหนังมังสามาจากผนังของ CD4 มาสร้างเปลือก
- กองทัพเอชไอวีถูกปล่อยออกมาจาก CD4 พร้อม ๆ กันหลายตัว การแบ่งตัวแบบทวีคูณนี้ทำให้เอชไอวีสามารถรวมกันเป็นขบวนการทำร้าย CD4 เซลล์อื่น ๆ ที่ยังแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายประมาณ 3-12 สัปดาห์ ร่างกายจะสังเคราะห์แอนติบอดี้ซึ่งเปรียบเหมือนตำรวจตรวจจับสิ่งแปลกปลอมออกมาเพื่อจะจับกุมเชื้อเอชไอวี แต่ก็สายไปแล้ว แอนติบอดี้ที่ร่างกายผลิตขึ้นมานี้ คือสารที่ตรวจเจอเวลาเราไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี
หลังจากเอชไอวีเข้าไปในซีดีโฟร์แล้ว มันจะทำอะไรกับ CD4?
เมื่อ CD4 ถูกเอชไอวีใช้ในการแบ่งตัว จะไม่สามารถทำงานเป็นทหารได้อีกต่อไป CD4 เหล่านั้นจะหมดสภาพและถูกทำลายไป ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- ทางตรง: CD4 ที่ติดเชื้อจะเอชไอวีถูกขโมยเนื้อเยื่อและสารประกอบไปผลิตเอชไอวีตัวใหม่ และเมื่อลูกหลานของเอชไอวีจำนวนมากผุดออกมาจากเซลล์ CD4 ตัวนั้นจะตายลง เนื่องจากเนื้อเยื่อภายในถูกทำลายอย่างหนัก หรือถ้ายังไม่ตายในทันทีก็จะหมดอายุและตายในเวลาต่อมา
- ทางอ้อม: CD4 ที่ติดเชื้ออาจตั้งโปรแกรม ทำลายตัวเอง (Apoptosis) เมื่อระบบและกลไกการทำงานของเซลถูกรบกวนจากการผลิตลูกของเอชไอวี ผู้มีเชื้อส่วนใหญ่ จะมีเซลล์ Apoptosis ในกระแสเลือดและต่อมน้ำเหลืองจำนวนมากกว่าคนที่ไม่มีเชื้อ
CD4 เกี่ยวอะไรกับ HIV และทำไมผู้ป่วย HIV ต้องติดตามค่า CD4?
อย่างที่ได้อธิบายไปในข้างต้นแล้วว่า CD4 มีหน้าที่ตรวจจับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และส่งสัญญาณไปให้กับเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆให้ออกมาต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อติดเชื้อ HIV ขึ้นมา เชื้อ HIV จะเข้าไปจับใช้ CD4 เป็นโรงงานหรือฐานการผลิตเชื้อ HIV เพื่อให้มีการเพิ่มปริมาณของเชื้อมากยิ่งขึ้นไปอีก
จะเห็นได้ว่าเชื้อ HIV มีผลทำลายและรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดขาว CD4 โดยตรง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในไม่เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง CD4 จะถูกทำลายลงไปจนเหลือไม่มากพอที่จะต่อสู้กับโรคติดเชื้อและเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ
ในคนสุขภาพดีนั้น ปกติแล้วจะมีค่า CD4 อยู่ที่ประมาณ 500 ขึ้นไป (อ้างอิงจาก สภากาชาดไทย) ส่วนในผู้ติดเชื้อ HIV อนุโลมให้ที่ประมาณ 350 ขึ้นไป หากระดับ CD4 มากกว่า 350 ในผู้ติดเชื้อ HIV แสดงว่าภูมิต้านทานยังดีอยู่
CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง
ภาวะนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งตรวจวัด CD4 ได้ที่ระดับน้อยกว่า 200 ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งรุนแรงจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสก็ ค่า CD4 ก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับและจะเริ่มคงที่อยู่ที่ระดับ 500 – 600 ตามแต่สภาพทางร่างกายของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไรแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยหรือผู้ที่มีร่างกายปกติ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้
ปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของค่า CD4 ?
นอกจากการติดเชื้อ HIV จะทำให้ค่า CD4 ลดลงได้แล้ว การติดเชื้ออื่นๆก็ส่งผลให้ CD4 ลดลงได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัดใหญ่, ปอดอักเสบ, โรคเริม หรือการได้รับยาเคมีบำบัด เป็นต้น และการดูแลตนเองเพื่อให้ค่า CD4 เพิ่มขึ้นนั้น สามารถทำได้โดยการรับประทานยาต้านไวรัสให้ต่อเนื่องและตรงเวลา หลีกเลี่ยงการรับเชื้อเพิ่มโดยการไม่ใส่ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, ดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ
เมื่อไหร่ควรตรวจ CD4?
เมื่อได้รับการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ครั้งแรก และหลังจากนั้นทุกๆ 6-12 เดือนแล้วแต่สภาวะของผู้ป่วยนั้นๆ เพิ่อช่วยติดตามการตอบสนองต่อการรักษา โดยจะมีการเจาะเลือด STD screening test ติดตามคู่ไปด้วยคือ HIV Viral load, CD4, Kidney, Liver และ regular STD screening test.
จำเป็นต้องกินอาหารเสริมเพิ่มซีดีโฟร์หรือไม่?
เตามที่มีการโฆษณาอาหารเสริมช่วยเพิ่มภูมิต้านทานหรือซีดีโฟร์ในผู้ป่วยเอดส์หรือผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้เป็นเอดส์ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเสียเงินซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะ
- ภูมิต้านทานหรือซีดีโฟร์ในร่างกายเปลี่ยนแปลงตลอด สามามรถเปลี่ยนแปลงระหว่างวันก็ได้ โดยค่าปกติ 470 - 1400 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ค่าซีดีโฟร์วันนี้อาจจะ 480 ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงเป็น 960 โดยไม่ต้องกินอาหารเสริมก็ได้
- แค่กินยาต้านไวรัสรักษาเอชไอวีอย่างถูกต้องก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลดปริมาณไวรัสและเพิ่มซีดีโฟร์ให้ขึ้นเป็นปกติ ไม่ต้องไปเสียเงินซื้ออาหารเสริมเพิ่มซีดีโฟร์มากิน เปลืองเงิน
- จำไว้ว่า ยาต้านไวรัสเท่านั้นที่ช่วยลดปริมาณไวรัสและเพิ่มระดับภูมิคุ้มกนซีดีโฟร์ ไม่มีอาหารเสริมที่สามารถใช้เพิ่มภูมิคุ้มกันหรือรักษาเอดส์ได้
ต้องการเพิ่ม CD4
ผู้มีเชื้อเอชไอวีต้องทานยาต้านเอชไอวีตรงเวลาทุกวัน และนอกจากนี้ต้องดูแลตัวเอง เลิกสิ่งเสพติดทุกชนิดและลดความวิตกกังวล จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ด้วยความปรารถนาดีจากทีมพัลซ์คลินิก